DIP Logo

หน้าแรก

แบบสำรวจ

เนื้อหา

คงเดิมหรือเปลี่ยนใหม่

กฎหมาย
"ทรัพย์สินทางปัญญา"

แบบไหนขับเคลื่อน Creative Industries ไทยให้ไกลกว่าเดิม?

“ทรัพย์สินทางปัญญา”

ไม่ใช่เรื่องไกลตัว
อย่างที่ใครหลายคนคิดเพราะ

สิ่งรอบตัวเราเหล่านี้
ล้วนมีทรัพย์สินทางปัญญา

ไม่ว่าคุณจะเป็นศิลปิน ผู้สร้างสรรค์ หรือเป็นผู้บริโภคที่ซื้อหาสิ่งเหล่านี้ มาครอบครอง เราทุกคนล้วนเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

นอกจากนี้ “ทรัพย์สินทางปัญญา” ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญ ที่จะช่วยผลักดัน Creative Industries ในสังคมไทย ซึ่งยังถือเป็นเป้าหมายสำคัญ
ของกรมทรัพย์สินทางปัญญาอีกด้วย

ในวันนี้ “ทรัพย์สินทางปัญญา”
คือหนึ่งในประเด็นสำคัญบนโต๊ะเจรจา FTA
ระหว่างไทยและสหภาพยุโรป (EU) ที่อยู่ระหว่างการเจรจา
โดยผลของการเจรจาในครั้งนี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญาของไทยให้แตกต่างไปจากเดิม

กรมทรัพย์สินทางปัญญาอยากชวนคุณ มาทำความเข้าใจข้อเสนอในการเจรจา
เพราะทรัพย์สินทางปัญญา เกี่ยวข้องกับเราทุกคน

เลือกสำรวจ
เรื่องราวในแบบ
ที่เหมาะกับคุณ

กดเลือกเนื้อหาที่สนใจ

Hand Point

ฉันเข้าใจเรื่อง
FTA และทรัพย์สิน
ทางปัญญาอยู่แล้ว

ขอแสดงความคิดเห็นเลย

ฉันยังไม่ค่อยคุ้นกับ
เรื่อง FTA และทรัพย์สิน
ทางปัญญาเท่าไหร่ 

เริ่มต้นทำความเข้าใจ

ในฐานะผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกฎหมาย ทรัพย์สินทางปัญญา เราทุกคนมีสิทธิรับรู้ และแสดงความคิดเห็นต่อการขับเคลื่อน Creative Industries ของไทย

เราอยากขอเวลาเล็กน้อย ชวนคุณลองจินตนาการ ตามเหตุการณ์สมมติ 4 เหตุการณ์นี้ และบอกเราหน่อยว่าคุณคิดเห็นอย่างไร

Purple Cloud

เสียงของคุณทุกคน
ถือเป็นข้อมูลสำคัญ ที่จะถูก
นำมาประกอบการพิจารณานโยบาย ด้านทรัพย์สินทางปัญญาของไทย เพื่อส่งเสริมความโปร่งใส
และการมีส่วนร่วม

ก่อนไปตอบคำถาม
พอจะบอกเรานิดได้ไหมว่าคุณเป็นใคร?

Question Icon

คุณเป็นใคร
ในข้อต่อไปนี้

กดเลือกสิ่งที่คุณเป็น

Hand Point
Character

นักสร้างสรรค์

คุณเป็นคนทำงานศิลป์ ศิลปิน นักร้อง นักแต่งเพลง นักเขียน นักแสดง ฯลฯ

Character

นักออกแบบ

คุณออกแบบลวดลายเสื้อผ้า กระเป๋า หรือ ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอื่น ๆ

Character

ผู้คนทั่วไป

คุณเป็นผู้บริโภคทั่วไป ดูหนัง ฟังเพลง เสพงานศิลป์แต่ไม่ได้ผลิตสิ่งเหล่านั้นเอง

ส่งคำตอบ

ที่มาที่ไป FTA
ไทยและสหภาพยุโรป

Free Trade Agreement (FTA)
หรือ ความตกลงการค้าเสรี

เป็นความตกลงทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศขึ้นไป เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าให้ใกล้เคียงตลาดเสรี ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าและส่งออก การยกเลิกระเบียบทางการค้าไปจนถึงการเปิดเสรีด้านการบริการและการลงทุน เป็นต้น

สำหรับการเจรจา FTA ระหว่างไทยและสหภาพยุโรป (EU) มีขอบเขตการเจรจาที่ครอบคลุมหลากหลายประเด็น เช่น การค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ฯลฯ โดยทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property) จัดเป็นหนึ่งในหัวข้อสำคัญของกรอบการเจรจาครั้งนี้

ความเป็นมา

พฤษภาคม 2550

ไทยเริ่มเจรจา FTA กับสหภาพยุโรปในฐานะส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียน (ASEAN)

มีนาคม 2552

หลังเจรจากันไปหลายครั้ง ทั้ง 2 ฝ่าย ได้หยุดพักการเจรจาเนื่องจากประเด็นทางการเมือง

และประเทศสมาชิก ASEAN มีความพร้อมไม่เท่ากัน ทำให้ในภาพรวมไม่สามารถตอบสนองข้อเรียกร้องจากฝั่งสหภาพยุโรปได้ สหภาพยุโรปจึงปรับแนวทางการเจรจา เป็นทวิภาคีกับ 3 ประเทศที่พร้อมหารือก่อนอันได้แก่ ไทย เวียดนาม และสิงคโปร์

2556

ไทยเริ่มเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป

2557

ไทยและสหภาพยุโรป ยุติการเจรจาชั่วคราวเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศไทย

2566

การเจรจาระหว่างไทยและสหภาพยุโรปกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง

ในขณะเดียวกัน สหภาพยุโรปก็ได้เริ่มต้นหารือ ศึกษาความเป็นไปได้ในการเจรจากับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เป็นต้น

กันยายน 2566

การเจรจา FTA ระหว่างไทยและสหภาพยุโรปรอบที่ 1 ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม

มกราคม 2567

การเจรจา FTA ระหว่างไทยและสหภาพยุโรปรอบที่ 2 ณ กรุงเทพฯ ประเทศไทย

มิถุนายน 2567

การเจรจา FTA ระหว่างไทยและสหภาพยุโรปรอบที่ 3 ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม

หลากข้อคิดเห็นต่อ FTA
ไทย-สหภาพยุโรป

papers
Left hand
Right hand

ระหว่างเตรียมความพร้อมเพื่อเจรจากับสหภาพยุโรป กระทรวงพาณิชย์ซึ่งถือเป็นเจ้าภาพหลักในการเจรจาจากฝั่งไทย ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นในประเด็น FTA หลากหลายภาคส่วนควบคู่กันไป

โดยมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นทั้งหมด 7 ครั้ง และการประชุมกลุ่มย่อย (focus group) อีก 6 ครั้ง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดระหว่างเดือนกันยายน 2562 - กันยายน 2563 ซึ่งมีผู้เข้าร่วมทั้ง ภาคเอกชน สมาคมธุรกิจ เกษตรกร ผู้บริโภคภาคประชาสังคม หน่วยงานภาครัฐ นักวิชาการ และกลุ่มนักลงทุนชาวต่างชาติกว่า 1,800 คน

ภาพรวม

มองว่า สหภาพยุโรปเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย โดยในปี 2566 สหภาพยุโรปเป็นคู่ค้าอันดับ 5 ของไทย รองจากอาเซียน จีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่น และมีมูลค่าการค้ารวม 41,582.24 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น จึงควรดำเนินการเจรจา FTA ระหว่างไทยและสหภาพยุโรปให้สำเร็จลุล่วง โดยรวมถึงการเจรจาในประเด็นทรัพย์สินทางปัญญา

ภาคเอกชน

มองว่า เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางการค้า กับประเทศอย่าง เวียดนามและสิงคโปร์ ที่เจรจาสำเร็จไปแล้ว รวมทั้งประเทศซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจา เช่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฯลฯ ประเทศไทยควรเร่งให้การเจรจา FTA กับสหภาพยุโรปประสบความสำเร็จ

ภาคประชาสังคม

มองว่า ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา เช่น ในประเด็นการขยายอายุสิทธิบัตรและคุ้มครอง ข้อมูลการขึ้นทะเบียนยาและผลิตภัณฑ์ อารักขาพืช (ป้องกันและกำจัดศัตรูพืช) ซึ่งอาจส่งผลต่อระบบการเข้าถึงยา และวิถีชีวิตของเกษตรกรรายย่อย เป็นต้น

ล่าสุด เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ไทยและสหภาพยุโรป ได้มีการเจรจาร่วมกันไปแล้วทั้งสิ้น 3 ครั้ง เมื่อเดือนกันยายน 2566 เดือนมกราคม 2567 และเดือนมิถุนายน 2567 ซึ่งทางกระทรวงพาณิชย์ ก็ได้พยายามรวบรวมผลการศึกษาผลกระทบของ FTA รวมถึงสื่อสารและรับฟังข้อคิดเห็นจากประชาชนควบคู่ไปด้วย

“ทรัพย์สินทางปัญญา”
หัวข้อสำคัญในการ
เจรจา FTA

ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจ
เรื่อง “ทรัพย์สินทางปัญญา” ให้ตรงกันก่อนดีกว่า

ทรัพย์สินทางปัญญา

ทรัพย์สินทางปัญญา หรือ Intellectual Property คือ ผลงานที่เกิดจากการประดิษฐ์คิดค้นโดยมนุษย์ โดยเป็นผลผลิตของสติปัญญาและความชำนาญ ซึ่งไม่จำกัดเพียงสิ่งที่จับต้องได้เท่านั้น

ทรัพย์สินทางปัญญามีอยู่หลากหลายรูปแบบ แต่ในที่นี้เราอยากชวนคุณโฟกัสที่ ลิขสิทธิ์ และการออกแบบผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในการเจรจา FTA ระหว่างไทยและสหภาพยุโรป

ลิขสิทธิ์และสิทธิข้างเคียง

(Copyright and Related Rights)

“ลิขสิทธิ์” อาจไม่ใช่คำแปลกใหม่ แต่หลายคนอาจมีความเข้าใจขอบเขต ของคำคำนี้ผิดไป มาลองเช็กกันดูว่าคุณเข้าใจ ‘ลิขสิทธิ์’ ดีแค่ไหน

ลิขสิทธิ์ เป็น “สิทธิ” รูปแบบหนึ่งหรือเปล่า ?
ถ้าแปลแบบตรงตัว ลิขสิทธิ์หมายถึงสิทธิที่เจ้าของลิขสิทธิ์สามารถกระทำกับงานของตัวเองได้คนเดียวเท่านั้น ผู้อื่นไม่สามารถละเมิดได้ โดยสิทธิที่สามารถทำได้กับงานของตัวเอง ก็จะครอบคลุมตั้งแต่ ทำซ้ำ ดัดแปลง ไปจนถึงเผยแพร่ และอีกมากมาย

งานทุกอย่างที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ถือว่ามีลิขสิทธิ์ไหม ?
ไม่ ลิขสิทธิ์จะมีขอบเขตคุ้มครองเฉพาะงานที่มีลักษณะบางอย่างเท่านั้น ตอบอย่างคร่าว ๆ ก็คือ งานสร้างสรรค์ เชิงศิลปะแขนงต่าง ๆ เช่น นวนิยาย ท่าเต้น ภาพวาด เพลง ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ เป็นต้น

ลิขสิทธิ์คุ้มครองตลอดชีวิตของผู้สร้างสรรค์เลยไหม ?
ถูกต้องแต่ไม่ทั้งหมด ตามกฎหมายไทย ลิขสิทธิ์ในงานส่วนใหญ่จะคุ้มครองตลอดชีวิตของผู้สร้างสรรค์ และต่อไปอีก 50 ปี หลังจากที่ผู้สร้างสรรค์เสียชีวิต

สิทธิบัตร
การออกแบบผลิตภัณฑ์

(Industrial Designs)

ในส่วนของสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ อาจจะแตกต่างจากลิขสิทธิ์พอสมควร มาดูกันดีกว่า

แบบผลิตภัณฑ์ หมายถึงอะไร?
แปลอย่างง่าย คือ รูปร่าง ลักษณะ องค์ประกอบของสี หรือลวดลาย ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทางอุตสาหกรรม ซึ่งหากจะนำไปจดสิทธิบัตรเพื่อรับความคุ้มครองทางกฎหมายก็จะต้องเข้าข่ายเงื่อนไขบางอย่างเช่น มีความใหม่ ไม่ถูกใช้อย่างแพร่หลาย ไม่เคยขอรับความคุ้มครองมาก่อน เป็นต้น

อะไรบ้างที่นับเป็นแบบผลิตภัณฑ์ ?
เช่น ลายเสื้อผ้า ลายตุ๊กตา ลายภาชนะ บรรจุภัณฑ์ กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ เป็นต้น

สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ คุ้มครองนานเท่าลิขสิทธิ์ไหม?

ไม่เท่า ตามกฎหมายไทย สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ จะคุ้มครองเป็นเวลา 10 ปี นับตั้งแต่วันยื่นคำขอรับสิทธิบัตร

นอกจากนี้ ยังมีทรัพย์สินทางปัญญาอีกหลายรูปแบบ ที่เวทีเจรจา FTA ระหว่างไทยและสหภาพยุโรปให้ความสำคัญ เช่น สิทธิบัตร (Patent) และข้อมูลที่ไม่เปิดเผย (Undisclosed Information)

ข้อเสนอประเด็น
ทรัพย์สินทางปัญญา
จากฝั่งสหภาพยุโรป

หมายเหตุ:ตามข้อเสนอเริ่มต้น (Initial Proposal) ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของ EU

หลังทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกันไปแล้ว

ไปดูกันดีกว่าว่าทางสหภาพยุโรปมีข้อเสนอในการเจรจาเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวอย่างไรบ้าง

ลิขสิทธิ์และสิทธิข้างเคียง

(Copyright and Related Rights)

1. อายุความคุ้มครอง

เลื่อนเพื่ออ่านข้อมูล

กฎหมายไทย

คุ้มครองผลงานตลอดอายุผู้สร้างสรรค์และต่อไปอีก 50 ปี หลังผู้สร้างสรรค์เสียชีวิต

ข้อเสนอจากฝั่งสหภาพยุโรป

คุ้มครองผลงานตลอดอายุผู้สร้างสรรค์และต่อไปอีก 70 ปี หลังผู้สร้างสรรค์เสียชีวิต

กฎหมายไทย

คุ้มครองงานแพร่เสียงแพร่ภาพ 50 ปี นับตั้งแต่สร้างสรรค์งานหรือมีการโฆษณาครั้งแรก

ข้อเสนอจากฝั่งสหภาพยุโรป

คุ้มครองงานแพร่เสียงแพร่ภาพ 50 ปี นับตั้งแต่แพร่เสียงแพร่ภาพครั้งแรก

กฎหมายไทย

คุ้มครองงานภาพยนตร์และโสตทัศนวัสดุ 50 ปี นับตั้งแต่สร้างสรรค์งาน หรือมีการโฆษณาครั้งแรก

ข้อเสนอจากฝั่งสหภาพยุโรป

คุ้มครองงานภาพยนตร์และโสตทัศนวัสดุ 70 ปี นับตั้งแต่สร้างสรรค์งาน หรือมีการโฆษณาครั้งแรก

กฎหมายไทย

คุ้มครองงานบันทึกเสียง 50 ปี นับตั้งแต่สร้างสรรค์งานหรือมีการโฆษณาครั้งแรก

ข้อเสนอจากฝั่งสหภาพยุโรป

คุ้มครองงานบันทึกเสียง 50 ปี นับตั้งแต่การบันทึกเสียงครั้งแรก และหากเผยแพร่อย่างถูกกฎหมาย จะคุ้มครอง 70 ปี นับตั้งแต่เผยแพร่ครั้งแรก

กฎหมายไทย

งานแสดงสามารถแบ่งการคุ้มครองได้เป็น 2 กรณี

  • 1. สิทธิของนักแสดงตามมาตรา 44 เช่น แพร่เสียงแพร่ภาพ เผยแพร่ต่อสาธารณชน บันทึกการแสดงที่ยังไม่มีการบันทึก ทำซ้ำซึ่งสิ่งบันทึกการแสดงที่มีผู้บันทึกไว้โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยคุ้มครอง 50 ปี นับแต่วันสิ้นปีของปีที่มีการแสดง (หากมีการบันทึกการแสดง คุ้มครอง 50 ปี นับแต่วันสิ้นปีของปีที่มีการบันทึกการแสดง)

  • 2. สิทธิของนักแสดงตามมาตรา 45 (สิทธิในการได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม) คุ้มครอง 50 ปี นับแต่วันสิ้นปีของปีที่ได้มีการบันทึกเสียง

ข้อเสนอจากฝั่งสหภาพยุโรป

การแสดงสามารถแบ่งการคุ้มครองได้ออกเป็น 2 กลุ่ม

  • 1. สิทธิของนักแสดงสำหรับการแสดงที่ไม่อยู่ในสิ่งบันทึกเสียง (performances otherwise than in phonograms) คุ้มครอง 50 ปี นับแต่ที่มีการบันทึกการแสดง (หากมีการโฆษณาหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ให้คุ้มครอง 50 ปี นับแต่การโฆษณาหรือเผยแพร่ครั้งแรก)

  • 2. สิทธิของนักแสดงสำหรับการแสดงที่บันทึกไว้ในสิ่งบันทึกเสียง (performances fixed in phonograms) คุ้มครอง 50 ปี นับแต่ที่มีการบันทึกการแสดง (หากมีการโฆษณาหรือเผยแพร่่ต่อสาธารณชนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ให้คุ้มครอง 70 ปี นับแต่การโฆษณาหรือเผยแพร่ครั้งแรก)

2. สิทธิในการได้รับค่าตอบแทน
จากการขายต่อ (Resale Right) ของศิลปิน

กฎหมายไทย

ไม่มีหลักการนี้ในกฎหมายไทย

ข้อเสนอจากฝั่งสหภาพยุโรป

หากศิลปิน* นําผลงานสร้างสรรค์ ของตนเองไปขาย และงานชิ้นนั้นถูกนําไปประมูลหรือขายต่อ (Resale) เช่น การขายผ่านดีลเลอร์ หรือ อาร์ตแกลเลอรี
จะมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนในส่วนนี้

*ศิลปิน ในที่นี้หมายถึงผู้สร้างสรรค์ งานศิลปะ เช่น รูปวาด รูปปั้น งานเซรามิก

การออกแบบผลิตภัณฑ์

(Industrial Designs)

1. อายุความคุ้มครอง

กฎหมายไทย

แบบผลิตภัณฑ์ที่จดทะเบียน จะได้รับความคุ้มครอง 10 ปี นับตั้งแต่วันยื่นคำขอรับสิทธิบัตร

ข้อเสนอจากฝั่งสหภาพยุโรป

แบบผลิตภัณฑ์ที่จดทะเบียน จะได้รับความคุ้มครองไม่น้อยกว่า 25 ปี นับตั้งแต่วันยื่นคำขอรับสิทธิบัตร

2. การคุ้มครองแบบผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้จดทะเบียน

กฎหมายไทย

ไม่มีหลักการนี้ในกฎหมายไทย

ข้อเสนอจากฝั่งสหภาพยุโรป

แบบผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้จดทะเบียนจะได้รับความคุ้มครองทันที โดยมีระยะเวลาอย่างน้อย 3 ปี นับแต่แบบผลิตภัณฑ์นั้นเผยแพร่ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก

อ่านข้อเสนอจากฝั่งสหภาพยุโรป
กันไปแล้ว คิดยังไงกันบ้าง?

กดเลือกเนื้อหาที่สนใจ

Hand Point

ไปที่แบบสํารวจ
ความคิดเห็น

ทบทวนเนื้อหา
อีกครั้ง

ความเห็นของคุณจะเป็นข้อมูลสำคัญ
ที่ถูกใช้ประกอบการพิจารณาแนวทาง
การพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญาของไทย

ติดตามข้อมูลข่าวสาร
ด้านทรัพย์สินทางปัญญาได้ที่

www.ipthailand.go.th

แชร์คำตอบของคุณ พร้อมส่งต่องานชิ้นนี้ให้เพื่อน ๆ
รับรู้และแสดงความคิดเห็น

Share

สร้างสรรค์โดย

DIP LOGOPU LOGO